เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ต.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเกิดมาก็ยุ่ง เวลาไม่เกิดก็ยุ่ง เราเห็นว่าเกิดแล้วยุ่งอย่างเดียว แล้วไม่เกิดไปไหนล่ะ ไม่เกิดจิตมันมีอยู่นะ ความรู้สึกนี้ฆ่าไม่ได้ เว้นไว้แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ความรู้สึกนี้สะอาด ถ้าความรู้สึกสะอาด เราจะไม่มีความกังวลใจใดๆ เลย ความกังวลใจ ความทุกข์ใจไปต่างๆ มันเป็นอวิชชา เพราะเรารู้ไม่จริงตามภาวะตามความเป็นจริง เราจะเอาแต่ความพอใจของเรา ถ้าความพอใจของเราแล้วนี่ มันจะมีความทุกข์ตลอดไป

แล้วธรรมะ ความพอใจมันมาจากไหน เป็นเพราะความไม่รู้จริงไง ถ้าความรู้จริงนะ มันยอมรับสภาพได้หมด คำว่ายอมรับสภาพ ยอมรับแบบปัญญานะ ไม่ใช่ยอมรับแบบยอมจำนน ถ้ายอมรับสภาพแบบยอมจำนน ดูสิ คนเป็นหนี้ เวลาเจ้าหนี้เขาทวงน่ะ ยอมเขาไปทุกอย่างเลย เพราะเราเป็นหนี้เขา ถ้าเราไปขัดขืนดื้อดึงกับเขา เขาจะคิดดอกเพิ่มขึ้นไปอีก เห็นไหม นี่ความยอมจำนนโดยความเป็นหนี้

แต่ความยอมรับ ความเข้าใจ ความรู้จริง เพราะว่าเห็นความรู้จริงแล้ว มันความรู้จริงอันหนึ่ง นี่คือปัญญานะ แต่ตัวความเป็นจริงคือ ตัวที่มันปล่อยวางทั้งหมด ตัวจิตตัวที่มันเป็นความสะอาดของใจ ตัวนั้นน่ะมันเป็นพลังงานอีกอันหนึ่ง มันเป็นพลังงานอันหนึ่งนะ เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่มันเป็นความเป็นอยู่นี่ มันเป็นเพราะว่าเราทำความสะอาดแล้ว เช่น เสื้อผ้าหรือของใช้ที่สกปรก เห็นไหม มันก็สกปรกด้วยกลิ่นเหม็น ด้วยความหมักหมมของมัน แต่เวลาทำความสะอาดขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ความสกปรกนั้นหลุดออกไป แต่เสื้อผ้านั้นก็มีอยู่ สิ่งนี้เสื้อผ้ามีอยู่ สิ่งที่ทำความสะอาด สิ่งที่เราทำความสะอาด สิ่งที่มันสกปรก เราทำความสะอาดขึ้นมา มันก็สะอาดขึ้นมา สิ่งสะอาดขึ้นมา เห็นไหม มันมีอยู่

หัวใจก็เหมือนกัน หัวใจถ้ามันสะอาดขึ้นมาแล้วมันมีอยู่ของมัน แต่มันไม่เหมือนเสื้อผ้า เพราะเสื้อผ้ามันก็ยังย่อยสลายอยู่ ยังต้องมีกระทบกระทั่งอยู่ เห็นไหม แต่ใจที่มันสะอาดแล้วมันไม่มีอย่างนั้น แต่ความเข้าใจของมัน เห็นไหม ความเข้าใจ ความยอมรับอันนี้ มันเป็นเรื่องของปัญญาที่มันรู้เท่าไง ถ้าไม่มีปัญญารู้เท่าอันนี้มันจะมีความทุกข์ตลอดไป นี่ธรรมะอันละเอียดนะ

แต่ธรรมะหยาบๆ ของเรานี่ ธรรมะการจำมา เห็นไหม รู้เท่า รู้ทัน รู้ไปหมดเลย แล้วรู้ไปหมดมันก็เศร้าหมองในหัวใจ เพราะพลังงาน ดูสิ พลังงานทุกอย่างมันต้องมีเศร้าหมองของมัน ความสว่างขนาดไหนถ้าเราใช้ไป มันถึงเวลาต้องหมดพลังงาน เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน มันสว่างไสวขนาดไหน มันผ่องใสขนาดไหน มันจะรู้เท่าขนาดไหนนะ มันถึงเวลาแล้วมันเป็นอนิจจังทั้งหมด มันต้องแปรสภาพของมันตลอดไป ความแปรสภาพอย่างนี้ ความที่เรารู้โดยสัญญา รู้สัญญาโดยความรู้ในศาสนาไง จะรู้เท่าสภาวะแบบนั้น จะรู้ธรรมเป็นธรรมอย่างนั้น จะเข้าใจสภาวธรรมอย่างนั้น

นี้สภาวธรรมเข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่เข้าใจตามความเป็นจริง ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริงมันมีเหตุมีผล เหตุผลคือการกระทำ พอจิตสงบเข้ามาก่อน เห็นไหม ถ้าจิตไม่สงบเข้ามา ความคิดทั้งหมดที่เราคิดเป็นธรรมๆ กันอยู่นี่ เป็นธรรมของกิเลสนะ กิเลสมีอยู่กับเรา ของใช้เราสกปรกมาก แล้วเรามีอาหารมา ในถ้วยในจานเรามีสารพิษทั้งหมดเลย แล้วเอาอาหารมาก็ใส่ในถ้วยในจานนั้น แล้วเราก็กินของเรา มันเป็นสารพิษเราไม่เห็นด้วยสายตา เราก็เข้าใจว่ามันไม่มีสารพิษหรอก เราก็กินของเราตามสบายใจของเรา เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดของเรา เราก็ว่าเป็นความคิดของเรา นี่ความคิด ปัญญาก็เป็นปัญญาแล้วนี่ ความเป็นไปก็เป็นไปแล้วนี่ ความรู้สึกนี่เป็นธรรมะทั้งหมด มันไม่เข้าใจเลยว่าภาชนะนั้นมันมีสารพิษ ถ้าภาชนะนั้นมันมีสารพิษ กินขนาดไหนสารพิษนั้นมันก็เข้าไปในร่างกายเราอยู่แล้ว เห็นไหม กินอาหารตัวนี้ กินอาหารเข้าไป มีแต่กินเข้าไปแล้วเป็นโรคเป็นภัย เป็นโรคเป็นภัย เพราะอะไร? เพราะเรากินอาหารที่มันมีสารพิษเจือปนตลอดเวลา นี่ความคิดของเราเป็นสภาวะแบบนั้น นี่โลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากกิเลส ปัญญาเกิดจากหัวใจ ปัญญาเกิดจากภวาสวะ ปัญญาเกิดจากฐานที่ตั้ง เห็นไหม

ถ้าจิตสงบเข้าไปแล้วล่ะ ปัญญาเกิดจากที่ตั้งเหมือนกัน แต่มันล้างถ้วยล้างภาชนะของเราสะอาดมาก่อน เห็นไหม ล้างภาชนะของเราสะอาดแล้วจะต้องมีปัญญาทำไม ในเมื่อมันสะอาดแล้ว เห็นไหม “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” ว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสอะไรมาเกิด เห็นไหม นี่ภาชนะที่สะอาดไง มันผ่องใสขนาดไหน มันจะว่างขนาดไหน ภาชนะที่สะอาดเท่านั้นเอง

ถ้าภาชนะที่สะอาด เห็นไหม ดูเสื้อผ้าที่เราซักสะอาดแล้วนี่ เสื้อผ้าหรือเครื่องใช้เราทำความสะอาดแล้ว มันก็มีภาชนะนั้นอยู่ จิตสงบเข้ามา ที่ว่าสงบ สงบเข้ามาที่จิตผ่องใสที่เป็นว่างๆ ว่างๆ ว่างกันอย่างนั้น มันว่างไม่มีเหตุมีผล ถ้าว่างไม่มีเหตุมีผล ว่างโดยกิเลส เห็นไหม เพราะกิเลสมันมีอยู่ แล้วกิเลสมันสงบตัวมันก็ว่าง แต่กิเลสมันยังมีอยู่ใช่ไหม มันก็ว่างโดยกิเลส แล้วมันก็อ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมะๆๆๆ ก็เป็นธรรมะกันนะ ธรรมะปากเปียกปากแฉะ แต่มันเศร้าหมอง จิตมันเศร้าหมอง มันยอมจำนน เห็นไหม ยอมจำนนกับชีวิต

แล้วมันจะเสียดายโอกาสนะ นี่เรามาทำบุญกุศลกันก็เพื่อเหตุนี้ไง เพื่อให้เราเห็นว่าสิ่งใดมันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลก ปัญญาโดยวิชาชีพ ปัญญาโดยความคิดนี่ แล้วมันไปตรึกในธรรม เห็นไหม ตรึก! วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ ตรึก... ตรึกคือวิตก เห็นไหม วิตก วิจาร วิตก วิจารนี่มันก็เป็นองค์หนึ่ง องค์ที่สองของฌานเท่านั้นเอง ฌานเห็นไหม วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ มันมีความวิตกขึ้นมา แล้วเราวิตกขึ้นมา เราคิดของเราขึ้นไป มันไปวิตกในธรรม วิตกตรึกในธรรม

ดูสิ พระโมคคัลลานะนี่ง่วงเหงาหาวนอน เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสอนพระโมคคัลลานะยังบอกว่า “ถ้ามันง่วงเหงาหาวนอน ให้ตรึกในธรรม ให้เอาน้ำลูบหน้าให้ดูดาว...” เห็นไหม มันตรึกในธรรม ตรึกในธรรมก็สภาวธรรมเท่านั้นน่ะ สภาวธรรมมันก็ออกมา สุดท้ายขึ้นมามันก็ปล่อยวาง ภาชนะนั้นก็สะอาดเข้ามา สะอาดเข้ามา

แต่กิเลสอวิชชามันสารพิษ คำว่า “สารพิษ” คือความฟุ้งซ่าน คือความวิตกวิจาร คือความที่มันยึดมั่นถือมั่น เห็นไหม อวิชชามันละเอียดกว่านั้นนะ อวิชชามันอยู่ในหัวใจของเรานี่ มันละเอียดกว่าเรา เพราะมันพาเกิดพาตาย ถ้าเรารู้ทันอวิชชาเราจะไม่มาเกิดมาตายอยู่นี่หรอก สิ่งที่เราเกิดเราตายกันอยู่นี่ก็เพราะอวิชชามันพาเกิดพาตาย อวิชชานะ ความไม่รู้เท่า

แต่เพราะว่าเรามีศีลธรรม เรามีสติสัมปชัญญะ เรามีสิ่งแวดล้อมที่ดี เราก็พยายามฝืนมัน แล้วทำคุณงามความดีมาบ้าง เราอยู่กับพ่อ อยู่กับแม่ อยู่กับญาติพี่น้อง เห็นไหม มีกตัญญูกตเวที นี่มันเป็นบุญกุศลหมดนะ คนเราพูดดีต่อกันมีความดีต่อกัน มันเป็นบุญกุศล ให้ทางกัน เห็นไหมโลกเขาหลีกทางกัน เราหลีกให้เขาก่อน ให้เขาไปก่อน มันเป็นบุญกุศลทั้งนั้นล่ะ มันเพราะเราเสียสละไง ความเสียสละอย่างนี้มันเป็นความดี แล้วเราทำความดีอย่างนี้เราฝืนมา พอฝืนมามันก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มันก็เกิดมีภพมีชาติ เกิดมามีสถานะที่ดี เห็นไหม

ถ้าคนมันต้องเกิดเหมือนกัน พอถึงวาระมันต้องเกิด พอใช้กรรมหมดแล้วต้องมาเกิด พอมาเกิดแล้ว คือมาเกิดมาทุกข์มายาก ทุกข์ยากเพราะอะไร? เพราะเราไม่ได้สร้างของเรามา เราไม่ได้เคยให้ใครเลย เรามีแต่ว่าเราเป็นคนเก่งคนดี เราต้องเบียดเบียนเขาตลอดไป เห็นไหม จะไปที่ไหนก็ขวางเขาไปหมดเลย ที่ไหนก็ขวางเขาไป ฉันเป็นคนใหญ่ ฉันเป็นคนโต ฉันจะเหยียบย่ำ พญาเหยียบเมือง เห็นไหม เหยียบมันทั่วไปหมดเลย เวลามีชีวิตอยู่ก็เหยียบย่ำเขาตลอดไป

เวลาเกิดขึ้นมาเป็นคนทุกข์คนยาก คนจนคนเข็ญใจ เพราะอะไร? เพราะทำลายเขาไว้ เบียดเบียนเขาไว้ ทำลายเขาไว้ ทำเขาไปแล้วมันจะเป็นอะไรขึ้นมา มันก็เป็นบาปเป็นกรรมทั้งนั้น จะรู้ไม่รู้ก็แล้วแต่ เขาไม่พอใจเขาเก็บไว้ในใจของเขา เราจะรู้ได้อย่างไร เพราะเรามีอำนาจวาสนา เห็นไหม เราเป็นคนใหญ่คนโต ไปไหนต้องไปเหยียบเขา เขาก็ไม่มีปากมีเสียง เราก็ว่าเรามีอำนาจวาสนา เวลาตายไป เห็นไหม เราไปทำเขาไว้นี่ในหัวใจมันไปเบียดเบียนกัน มันไปทำลายกัน ก็มาทุกข์จนเข็ญใจ เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่นะ ถึงเวลาลมหายใจขาดไป ไปเจอสภาวะแบบนั้นจะยอมรับความจริงอย่างนั้น เพราะอะไร?

เพราะเวลาเราเกิดขึ้นมานี่ นาย ก. ตายไปไปเกิดเป็นอะไร? นาย ก. ตายไปแล้ว ไปเกิดขึ้นมาก็เป็นนาย ข. นาย ค.ไป นาย ข. นาย ค. แล้วมันไปไหนล่ะ นาย ค. เกิดได้ไหม นาย ง. เกิดได้ไหม ถ้ามันมีจิตพาไปเกิด นาย ก. ส่วนนาย ก. สิ นาย ก. ทำไว้ นี่ผู้มีอำนาจวาสนาก็ย่ำยีเหยียบเขาไว้ เวลาไปเกิดขึ้นมาเป็นนาย ง. ขึ้นมานี่ ไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นนาย ง. นาย ก. ทำไปแล้วไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย แล้วทำไมเรามาทุกข์มายากล่ะ แล้วทำไมเราทุกข์จนเข็ญใจอยู่อย่างนี้ล่ะ ทุกข์จนเข็ญใจก็นาย ง. ทุกข์จนเข็ญใจสิ แต่จิตที่มันเป็นนาย ก. มันเหยียบย่ำเขาแล้วมันก็มาเกิดใหม่ มาเกิดใหม่แล้วทีนี้กรรมที่มันติดมา เห็นไหม

นี่จิตนี้สำคัญมาก จิตนี้พาไปเวียนเกิด แล้วสถานะที่เราเป็นกันอยู่นี่ เราทำมาทั้งนั้น คนทำดีทำชั่ว จิตคิดดีคิดชั่ว คิดไปอย่างนั้นเพราะเราฝึกมาอย่างนั้น สิ่งแวดล้อมมันทำให้คนเสีย เห็นไหม นี่ก็จิตเหมือนกัน เราฝึกมาเราเคยคิดมา เราตรึกสิ่งที่มันหมักหมมในหัวใจ คนที่จะเอาเปรียบเขา มันก็เอาเปรียบเขาอย่างนี้ตลอดไป ยอมสละไม่ได้ ยอมแพ้เขาไม่ได้

เห็นไหม แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร แพ้เป็นพระ เราไม่ได้แพ้เขาด้วยเราเกรงอำนาจวาสนาเขานะ เราแพ้เขาด้วยเพราะศีลธรรม เราไม่ได้แพ้ เราชนะใจเราเองต่างหาก เราชนะเขาด้วย เพราะเขาไม่รู้ตัวของเขาเอง เขาเหยียบย่ำขึ้นมานี่เขาไม่รู้ตัวเขาเองเลย เขาเหยียบเขาทั่วไปหมดเลย แต่เขานึกว่าเขามีอำนาจวาสนา เขาทำกรรมของเขาเขาไม่รู้ตัวนะ ไอ้เรานี่เมตตาสงสารเขา เห็นไหม นี่แพ้เป็นพระ เป็นพระเพราะใจมันประเสริฐไง เราไม่ได้เกรงกลัวเขา เราไม่ได้ต้องการให้สังคมเดือดร้อน เราไม่ต้องการสิ่งใดๆ เลย เราเก็บไว้ในหัวใจ

มันก็เหมือนเด็ก เด็กมันไม่รู้เรื่อง มันกร่างมาก็ปล่อยมันไป เราก็ไม่รับรู้มัน เราไม่ใช่ว่าเรายอมจำนนเพราะเราไม่รู้เรื่อง เรารู้ของเรานะ นี่จิตใจที่สูงส่งมันเห็นแล้วมันธรรมสังเวชไง เห็นไหม เราเห็นเด็กทำดีทำชั่ว เราเห็นเด็กมันรังแกกัน เรานั่งดูอยู่นี่เรามีคติเตือนใจเราไหม

แล้วถ้าเรารู้ทันใจของเรา ใจของเรามันมีดีมีชั่วขึ้นมานี่ เราทันหัวใจของเรา เราทันความรู้สึกของเรา ความรู้สึกอันนี้มันจะเหยียบย่ำเขา ความรู้สึกอันนี้มันเมตตาการุณต่อเขา ความรู้สึกอันนี้ เห็นไหม นี่เราเห็นของเรานะ นี่แพ้เป็นพระไง มันแพ้จากความเห็นของโลกจากภายนอก แต่มันเป็นพระ มันประเสริฐจากภายในหัวใจ เห็นไหม

แล้วเวลามันตายไปมันจะไปไหนล่ะ สิ่งนี้เป็นประเสริฐ พระนี้เป็นประเสริฐ หัวใจที่เป็นประเสริฐ มันไปมันก็ไปดีทั้งนั้นน่ะ ไปดี เห็นไหม นาย ก. ไปเกิดเป็นนาย ง. พอนาย ง. ขึ้นมานี่ โอ๊ย! ทำไมไปที่ไหนก็มีแต่คนเมตตา ไปที่ไหนก็มีแต่คนอุ้มชูบูชา เอ๊ะ! ทำไม? มันเป็นอย่างไร? เราก็ไม่เห็นทำอะไรเลย ทำไมคนโน้นก็ว่าเราดี คนนี้ก็ว่าเราดี เห็นไหม ก็ทำมาจากนาย ก. นาย ก. มันทำมามันตายไปแล้ว นาย ก. ตายไปแล้ว แต่จิตของนาย ก. ตายไป จิตนาย ก. ไปเกิดเป็นอะไร แล้วแต่อำนาจวาสนา

แล้วไปเกิดเป็นนาย ง. นาย ง. ทำความดีมา เขาเสียสละมาตลอด เห็นไหม มันเสียสละของเขามา ไปที่ไหนคนก็เอ้อ...คนนี้เป็นคนดี แล้วใจมันก็ดีอยู่แล้วเพราะมันเสียสละ เพราะใจมันประเสริฐอยู่แล้ว พอใจประเสริฐแล้วมันไม่ทำสิ่งใด เห็นไหม นี่กลิ่นของศีลหอมทวนลม คนนั้นเป็นคนดี

เด็กมันเกิดมานิสัยมันดี เห็นไหม นี่เด็กคนนี้เป็นคนดี ดูสิ ดูทางโลกเขา ทางหนังสือพิมพ์เขาลง เด็กกตัญญูเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่วิ่งเป็น ๕ กิโล ๑๐ กิโลไปเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ มันกตัญญูไหมล่ะ มันทำดีไหมล่ะ แล้วเราไปดูสิ ทำไมเด็กมันต้องทำอย่างนั้น เด็กทั่วไปมันไปเดินห้างไปตากแอร์ แต่ไอ้เด็กคนนี้ทำไมมันวิ่งไปเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวพ่อแม่มันนอนจมอยู่นั้นน่ะ ทำไมมันทำได้ล่ะ เด็กเหมือนกันแต่หัวใจมันไม่เหมือนกัน เห็นไหม หัวใจมันสร้างของมันมา หัวใจมันทำของมันมา มันกตัญญูกับพ่อแม่ของมัน มันเห็นคุณเห็นบุญ เกิดมาๆ จากพ่อจากแม่ พ่อแม่เราทุกข์เรายาก เขาจะสุขสบายเขาสร้างของเขามา เราสร้างบุญกุศลมาอย่างนี้ เราทำมาอย่างนี้ แต่มันมีความกตัญญู เห็นไหม เด็กกตัญญูเขาออกข่าวออกสื่อสารกันนะ

แล้วหัวใจกตัญญูล่ะ หัวใจกตัญญู เห็นไหม หัวใจกตัญญูกับพ่อแม่เรา หัวใจกตัญญูกับหัวใจของเรา นี่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ในหัวใจนี้ หัวใจนี้มันจะกตัญญูกับเรา ชีวิตเราจะมีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลย เราจะเห็นชีวิตของเรานะ ชีวิตเรามีคุณค่า คุณค่าเพราะอะไร? เพราะว่าโลกมันเป็นอย่างนั้น งานหยาบๆ นะ ที่เขาว่าทุกข์ๆ ยากๆ กันน่ะ อาบเหงื่อต่างน้ำเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกัน

ถ้าเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ดูสิ ภิกษุเรา เห็นไหม บิณฑบาตเป็นวัตร ไม่มีสิ่งใดเลย เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตไปแต่มันก็เป็นพระเหมือนกัน บิณฑบาตไปมีคนใส่บาตรก็มี บิณฑบาตไปเขาไม่ใส่บาตรก็มี มันกรรมเหมือนกัน ดูสิ สมัยพุทธกาล พระอรหันต์ที่ว่าบิณฑบาตไม่ได้เลย เหมือนกัน มันเหมือนกันหมายถึงว่าจิตนี่เกิดจากนาย ก. ไปเกิดเป็นนาย ง. นี่ก็เหมือนกัน เกิดจากพระ ข. เกิดเป็นพระ ก. มันก็เวียนไปเวียนมา มันอยู่ที่อำนาจวาสนา แต่โดยระบบ เห็นไหม เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราทำสภาวะของเรา

งานการก็เหมือนกัน ทำแล้วมีผลตอบรับที่ดี ทำแล้วมันจะขัดสน มันจะอัตคัดขาดแคลนอย่างไร อัตคัดขาดแคลนเราก็อยู่ในศีลธรรมไง ทนไง ชนะตัวเองให้ได้ ทุกข์ก็คือว่าทุกข์ ทุกข์มาแล้วนะ ทุกข์มาตั้งแต่อดีตชาติมา ทุกข์ในปัจจุบันนี้ ทุกข์อนาคต อย่างไรก็ทุกข์ไป แต่ในปัจจุบันนี้เราพบเรื่องศาสนา เห็นไหม ทำบุญร้อยหนพันหน ไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลร้อยหนพันหน ไม่เท่าเกิดสมาธิหนหนึ่ง สมาธิร้อยพันหนไม่เท่าเกิดการปัญญาหนหนึ่ง นี่จิตสงบปัญญาเกิดหนหนึ่ง ปัญญาที่รู้แจ้ง ทำให้จิตนี้พ้นจากการครอบงำของอวิชชาได้ เห็นไหม อวิชชาที่มันอยู่ในหัวใจ อวิชชาที่มันโง่เง่าเต่าตุ่น มันต้องกลิ้งไปตามวัฏฏะ มันต้องให้เราเกิดเราตายอยู่นี่

แล้วนี่เรามีสติสัมปชัญญะ เราเตือนใจของเรา แล้วเราทำบุญกุศลของเรา บุญกุศลนะ ทำแล้วมันชื่นใจ ทำแล้วมันพอใจ นี่ทำจากภายนอก ถ้าเราปฏิบัติบูชา เห็นไหม จิตสงบขึ้นมานี่มีความสุข ชื่นใจ พอใจ มันจะตื่นเต้น เพราะว่ามันไม่มีในห้างสรรพสินค้า มันไม่มีโบรชัวร์ที่ไหนเขาจะบอกว่าให้สั่งซื้อได้ บอกว่าเขาส่งมาให้เลย สั่งที่ไหน ส่งทางไปรษณีย์ให้นะ มีเงินสั่งได้ทั้งหมด เพชรนิลจินดาที่ไหนเราก็สั่งได้ทั้งนั้นน่ะ แต่อันนี้มันไม่มีขายหรอก มันหาไม่ได้ หาไม่ได้ในทางวัตถุ มันหาได้ในหัวใจของสัตว์โลก

แล้วหัวใจสัตว์โลกนี่มีความรู้สึกมีหัวใจทุกคน แต่ทุกคนเหยียบย่ำใจของตัวเอง ทุกคนไม่เห็นคุณค่าของหัวใจของตัวเอง ทุกคนไปเห็นทรัพย์สมบัติจากภายนอก มันเหยียบย่ำหัวใจของตัวเองไปตลอดเวลา แล้วหัวใจนี่มันมีคุณค่าขนาดนี้ ทำไมคนไม่รู้จักมัน เห็นไหม ถ้าคนฉลาด คนมีปัญญา คนมีอำนาจวาสนา มันจะรู้จักหัวใจของเรา คุณค่ามันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทองเลย ไม่ใช่อะไรเลย เราไปแบกรับมันนะ มีมหาศาลเป็นตุ่มเป็นไหนะ แล้วโปะใส่ตัวมันจะขนาดไหน ถ้าเป็นเพชรนิลจินดา เอาทั้งตุ่มทั้งไหเลยแล้วโปะใส่ตัว หาบมันไปนี่ว่าเรามีมากๆ มันมีแค่ไหน เห็นไหม ถ้าหัวใจมันไม่ประเสริฐ ถ้าหัวใจประเสริฐนะ มันจะมีไม่มี หัวใจนี้ประเสริฐมาก

นี่หัวใจของเราสำคัญนะ ศาสนาสอนตรงนี้ ศาสนา เห็นไหม ทำบุญกุศลขึ้นมา ให้รู้จักตัวเอง แล้วตัวเองจะมีความสุข เอวัง